1 เปอร์เซ็นต์ ไม่แสดงอาการหรือมีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง ส่วนอีก 5. 9 เปอร์เซ็นต์ มีอาการรุนแรง เป็นเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งมีความเสี่ยงมากที่สุด ในขณะที่ทารกที่อายุต่ำกว่า 12 เดือน เป็นกลุ่มที่จะได้รับอันตรายจากเชื้อไวรัสมากที่สุด ทั้งนี้ CDC มีข้อแนะนำถึงคุณแม่ ที่ควรระวังเช่น ทำกิจกรรมอยู่ในบ้าน งดออกไปเจอผู้คน ล้างมือทุกครั้งก่อนที่จะสัมผัสตัวทารก และสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ให้นมลูก ขอขอบคุณข้อมูลจาก และ M. O. M
ก่อนฝากครรภ์ ต้องเลือกอย่างไรถึงจะดีและวิธีการเตรียมเอกสาร ที่มา: hmedicalnewstoday บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ: ตั้งครรภ์ 2 สัปดาห์ อาการเป็นอย่างไร และควรปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง ฝากครรภ์ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง มีขั้นตอนอย่างไร ที่ไหนดีกว่ากัน อาหารคนท้องอ่อน แบบไหนบำรุง แบบไหนแสลง อะไรห้ามกิน อะไรกินได้ มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!
วิธีสังเกตสัญญาณการตั้งครรภ์ (อาการคนท้อง) คุณมีอาการของคนท้องหรือไม่ ถ้าคุณสงสัยว่าอาจกำลังตั้งท้อง ลองสังเกตดูอาการต่างๆ ที่แพทย์ใช้เป็นข้อวินิจฉัยก่อนจากตารางด้านล่าง เพราะการขาดประจำเดือนอย่างเดียวไม่ได้แปลว่าคุณจะกำลังตั้งครรภ์เสมอไป บางครั้ง อาจเป็นเพราะเหนื่อยล้าหรือมาจากสาเหตุอื่นๆ ได้ ดังนั้นคุณแม่ไม่ควรด่วนสรุปก่อนทำความเข้าใจถึงอาการคนท้องต่างๆ ตารางอาการคนท้อง อาการตั้งครรภ์ ระยะเวลาที่เกิดอาการ สาเหตุอื่นที่ไม่ใช่การตั้งครรภ์ 1. การขาดประจำเดือน ทันทีที่เริ่มตั้งครรภ์ การเดินทาง, ย้ายที่อยู่, ความเครียด ร่างกายเหนื่อยล้า. ใช้ยาคุมกำเนิด, ระยะให้นมบุตร, การเพิ่มหรือการลดน้ำหนักมากๆ, โรคอ้วน, โรคของระบบต่อมไร้ท่อ เช่น เบาหวาน 2. คลื่นไส้ อาเจียน( ไม่จำเป็นต้องมีอาการในเวลาตื่นนอนตอนเช้า 2-8 สัปดาห์ ภายหลังการปฏิสนธิ อาหารเป็นพิษ, ความเครียด, โรคติดต่อ หรือการเจ็บป่วยอื่นๆ 3. ปัสสาวะบ่อย ประมาณ 6-8 สัปดาห์ หลังการปฏิสนธิ การติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ, ความวิตกกังวล, โรคเบาหวาน, ใช้ยาขับปัสสาวะ 4. เต้านมขยายและมีอาการตึงคัด พบเป็นอาการแรกก่อนอาการแสดงอื่น ๆประมาณ 2-3 วันหลังการปฏิสนธิ ใช้ยาคุมกำเนิด, อาการเตือนก่อนการมีประจำเดือน 5.
หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนเช่น กลิ่นน้ำหอม กลิ่นอาหาร การับประทานอาหารรสจัด เป็นต้น 2. พยายามดื่มน้ำมากๆ ในตอนเช้า 3. รับประทานอาหารมื้อละน้อยๆ แต่รับประทานจำนวนมื้อให้บ่อยขึ้น เน้นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต การใช้ยาเพื่อลดอาการคลื่นไส้อาเจียนในหญิงตั้งครรภ์ 1. Vitamin B6 (Pyridoxine) เนื่องจากสมมติฐานว่าการขาดวิตามินบี 6 เป็นปัจจัยหนึ่งที่เป็นสาเหตุของอาการคลื่นไส้ อาเจียนในหญิงมีครรภ์ 2. Promethazine ในขนาด 25 มิลลิกรัม และ Cyclizine เป็นยาที่ใช้ได้ดี 3. Meclizine เป็นยาที่มักเลือกใช้เป็นอันดับแรกในการรักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียน ที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ 4. Methoclopamide เป็นยาที่ไม่ค่อยนิยมใช้มากนักเพราะ มีข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์น้อยมาก 5. Dimenhydrinate, Diphenhydramine เป็นยาต้านการอาเจียนตัวหนึ่งที่นิยมใช้ใน สตรีมีครรภ์ เนื่องจากมีผลต่อทารกในครรภ์น้อย 6.
การเปลี่ยนแปลงสีผิวของช่องคลอดและปากมดลูก 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ อาการเตือนก่อนการมีประจำเดือน 6. การเปลี่ยนสีผิวของลานนมและการเพิ่มขนาดของเต้านม การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนผลสืบเนื่องจากการตั้งครรภ์ครั้งก่อน 7. รอยแตกสีชมพู หรือสีคล้ำของผิวหนังหน้าท้องและบริเวณเต้านม 8. เบื่ออาหาร การขาดอาหาร, ความเครียด, อาการเตือนก่อนการมีประจำเดือน 9. เส้นสีดำกลางลำตัวที่ผิวหนังหน้าท้องจากระดับสะดือถึงหัวเหน่า เดือนที่4 หรือ 5 ของการตั้งครรภ์ คำนวณวันครบกำหนดคลอด กรุณาระบุวันแรกที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย คุณระบุไม่ถูกต้อง รอบประจำเดือนของคุณอยู่ในช่วงกี่วัน รับฟรี! ชุดของขวัญสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ สมัครสมาชิก Hi-Family Club เราพร้อมเคียงข้างคุณแม่ทุกช่วงเวลา บริการให้คำปรึกษาโดยทีมพยาบาล นักโภชนาการ และคุณแม่ ข้อมูลสุขภาพที่เหมาะกับคุณ ผ่าน SMS สมัครสมาชิก บทความที่เกี่ยวข้อง ไฮ-แฟมิลี่ แคร์ไลน์ บริการให้คำปรึกษาในทุกๆเรื่องที่คุณแม่กังวลใจ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญ พยาบาล นักโภชนาการและคุณแม่ ที่พร้อมอยู่เคียงข้าง ตลอด 24 ชั่วโมง
ในช่วงนี้คุณหมออาจแนะนำให้ตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งตรวจสอบได้ในช่วงอายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์ คุณแม่จะต้องดื่มน้ำที่หวานมากมีรสคล้ายน้ำส้มและเจาะเลือดมาตรวจในอีกชั่วโมงต่อมา เพื่อตรวจสอบว่าร่างกายผลิตอินซูลินมากพอที่จะลดระดับน้ำตาลจากเครื่องดื่มให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ ถ้าหากว่ายังอยู่ในระดับปกติก็ถือว่าปลอดภัยไม่เป็นโรคเบาหวานค่ะ 2. สำหรับคุณแม่ที่ชอบย้อมสีผม ในช่วงตั้งครรภ์ควรปล่อยผมให้เป็นธรรมชาติ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าสีย้อมผมเป็นอันตรายต่อคุณแม่และลูกในท้อง แต่ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าค่ะ อย่างน้อยก็เลี่ยงไปก่อนจนกว่าจะคลอดนะคะ 3. คุณแม่ควรดื่มน้ำผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง มีประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและช่วยต่อสู้กับแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อนะคะ น้ำผลไม้มีรสชาติอร่อยทานแล้วช่วยให้คุณแม่สดชื่นด้วยค่ะ 4.
เต้านม และหัวนม มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อประจำเดือนขาด อาการที่จะสังเกตได้ง่ายอีกอย่างหนึ่งก็คือ อาการเจ็บบริเวณหน้าอก หรือหัวนม คัดเต้านม มักจะรู้สึกได้เมื่อคุณใส่เสื้อชั้นใน แล้วเกิดความรู้สึกระคายเคือง ทั้ง ๆ ที่ปกติจะไม่รู้สึกแบบนั้น เส้นเลือดบริเวณเต้านม จะมีสีเข้ม และชัดเจนมากขึ้น แต่อาการเหล่านี้ จะเริ่มทุเลาลง หลังจากอายุครรภ์ครบ 3 เดือนค่ะ 5. มีไข้ต่ำ ในระยะแรกที่ร่างกายมีการปรับเปลี่ยน จะทำให้เกิดอาการไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว แบบอ่อน ๆ และมักจะเป็นช่วงเย็น ๆ หรือหัวค่ำ ถือว่าเป็นอาการปกติ ที่สามารถพบเจอได้ทั่วไปค่ะ ดังนั้น ไม่ต้องเป็นกังวล เพียงแค่ ดื่มน้ำให้เยอะขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอ แค่นี้อาการก็จะบรรเทาลงค่ะ ในที่นี้ รวมถึงอุณหภูมิของร่างกายที่สูงขึ้น จะรู้สึกร้อน เหงื่อออกง่ายกว่าเดิม แม้ว่าตัวคุณแม่จะไม่ได้เป็นไข้ก็ตาม ถือว่าเป็นเรื่องปกติค่ะ 5. มีตกขาวมากกว่าปกติ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้เกิด อาการตกขาว มากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งตกขาวลักษณะนี้ ไม่ได้บ่งชี้ถึงภยันอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้นค่ะ แต่หากตกขาวนั้น มีสีที่ไม่พึงประสงค์ เช่น สีเขียว หรือ สีเหลืองเข้ม ยิ่งถ้ามีกลิ่น หรือเกิดอาการคันด้วยแล้ว ควรรีบไปปรึกษาแพทย์โดยด่วนค่ะ 6.