ระบุว่า ไทยมีโรงงานผลิตยาแผนปัจจุบันที่ได้การรับรองมาตรฐานการผลิต (Good Manufacturing Practice: GMP) จำนวน 144 แห่ง (ข้อมูล ณ กุมภาพันธ์ 2563) และในจำนวนนี้ไม่เกิน 5% สามารถผลิตวัตถุดิบตัวยาสำคัญได้เอง ซึ่งนำมาใช้ในการผลิตยาสำเร็จรูปของโรงงานตนเองเป็นหลัก สำหรับการวิจัยค้นคว้าพัฒนายาตัวใหม่ในประเทศไทย มีเฉพาะการคิดค้นวัคซีน ที่สำคัญเช่น วัคซีน HIV วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดนก/ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น โดยผู้ผลิตยาในไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. หน่วยงานของรัฐ ได้แก่ องค์การเภสัชกรรม และโรงงานเภสัชกรรมทหาร เน้นเน้นผลิตยาชื่อสามัญ และจำหน่ายในประเทศ เพื่อทดแทนยานำเข้าจากต่างประเทศ 2. บริษัทยาเอกชน ซึ่งแบ่งออกเป็นบริษัทยาเอกชนของคนไทย เน้นผลิตยาชื่อสามัญทั่วไป และมีราคาไม่สูง ส่วนอีกกลุ่มคือบริษัทยาของต่างชาติ ถือหุ้นส่วนใหญ่โดยต่างชาติ เป็นตัวแทนนำเข้ายาต้นตำรับหรือยาจดสิทธิบัตรมาจำหน่ายในราคาที่ค่อนข้างสูง และมีบางรายเข้ามาตั้งโรงงานผลิตยาสำเร็จรูป การแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการผลิตยาในไทยนั้นรุนแรงมากขึ้น หลังจากที่ พ. ร. บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ. ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือน ส.
แนวโน้มอุตสาหกรรมยา ปี 2563-2565 มูลค่าการจำหน่ายยาในประเทศปี 2563 จะขยายตัวตำ่ที่ 2. 0-3. 0% ผลจากจำนวนผู้ที่เข้ารับบริการในโรงพยาบาลทั้งคนไทยและต่างชาติมี แนวโน้มลดลง จากความกังวลการติดเชื้อในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิค-19 และมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เข้มงวดในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 น่าจะทำให้การจำหน่ายยาผ่านโรงพยาบาลซึ่งเป็นตลาดหลักเติบโตชะลอลง อย่างไรก็ตาม ในปี 2564-2565 คาดว่ามูลค่าการจำหน่ายยาในประเทศจะขยายตัวเร่งขึ้นเฉลี่ยที่ 4. 5-5.
ค.
ร่วมกับองค์การเภสัชกรรมสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็ง โดย ครอบคลุมตัวยาหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. ยาเคมีบำบัดชนิดเม็ดและฉีด (Chemotherapy) ที่เป็นยาพื้นฐานในการรักษาโรคมะเร็ง 2. ยาเคมีชนิดเม็ดและยาฉีดชีววัตถุคล้ายคลึงประเภท Monoclonal antibodies (Biosimilar) และ 3.
ย.
5 ล้านบาท และคาดว่าเมื่อสถานการณ์โควิดสงบ ใน 2-3 ปีข้างหน้านี้ มีโอกาสขยายตัวด้านแฟรนไชส์ไอีกกว่า 20 สาขา รวมไปถึงโอกาสในการเข้าไปเปิดตลาดใน CLMV ซึ่งถือเป็นความท้าทายใหม่ เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line @Matichon ได้ที่นี่
6% YoY รองลงมา ได้แก่ ยาแคปซูล ยาฉีด และยาน้ำ สอดคล้องกับมูลค่าการนำเข้ายาเพิ่มขึ้น 0. 7% YoY คิดเป็น 1. 3 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ายาและส่วนประกอบตัวยาสำคัญจากจีนและอินเดีย ในทางตรงข้าม การส่งออกหดตัวทั้งด้านปริมาณ (-4. 4% YoY) และมูลค่า (-11. 3% YoY) เนื่องจากในช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีความรุนแรง ทุกประเทศซึ่งรวมทั้งไทยชะลอการส่งออก และหันมาเน้นตอบสนองความต้องการใช้ในประเทศก่อน ปี 2564 ยังคงท้าทาย แม้โควิด-19 จะทำให้มีความต้องการใช้ยามากขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแพร่ระบาดที่รุนแรงได้ส่งผลให้คนไทยและชาวต่างชาติไปใช้บริการที่โรงพยาบาลซึ่งเป็นตลาดหลักน้อยลง ส่งผลต่อตลาดยาในประเทศ โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่าปี 2563 มูลค่าจำหน่ายยาในประเทศจะขยายตัวต่ำที่ 2. 0-3.
ศ. 2563 PDF - สถิติใบอนุญาตประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยา ประจำปี พ. 2562 PDF - สถิติใบอนุญาตประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยา ประจำปี พ. 2561 PDF - สถิติใบอนุญาตประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยา ประจำปี พ. 2560 PDF - สถิติจำนวนผู้รับอนุญาตด้านยาในแต่ละจังหวัด (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2560) PDF - สถิติจำนวนสถานที่ขายยา ผลิตยา และนำสั่งยา ที่ได้รับอนุญาต (ข้อมูล ณ วันที่ 29 กันยายน 2560) PDF - สถิติใบอนุญาตประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยา ประจำปี พ. 2558 - 2559 PDF - สถิติการพิจารณาอนุญาตสถานประกอบการด้านยา ตั้งแต่ปี 2558-2559 PDF ด้านใบอนุญาตเฉพาะเขตกรุงเทพมหานคร - สถิติจำนวนร้านขายยาประเภทต่างๆ พ.